บทที่ 8 อู๋ฮองเฮา (๑)
อู๋ฮองเฮาบัดนี้ประทับอยู่ในตำหนักเฟิ่งหวง หลังผ่านพ้นพระราชพิธีอภิเษกสมรสมายังไม่ทันข้ามวัน อู๋ฮองเฮาแต่เดิมทีเป็นธิดาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้แคว้นเหลียวที่ประสูติจากพระสนมขั้นเฟย เนื่องจากบรรดาพี่น้องของนางล้วนมีแต่โอรสกันหมด มีแต่นางเท่านั้นที่เป็นสตรี ดังนั้นจึงถูกส่งมาอภิเษกกับฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น
หลิงซีซึ่งเป็นนางกำนัลคนสนิทกำลังบรรจงสางพระเกศาให้กับฮองเฮาพระองค์ใหม่ พระพักตร์งดงามที่ฉายสะท้อนเงาอยู่บนกระจกทองเหลืองกลับเห็นแต่เพียงร่องรอยความเศร้าหม่นที่ปรากฏ หลังจากผ่านพระราชพิธีอภิเษกสมรส พระสวามีของนางก็มีท่าทีเปลี่ยนไป หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกสมรส เขาไม่แม้แต่จะอยู่ส่งตัวเข้าหอกับนาง ทิ้งให้นางอยู่อย่างโดดเดี่ยวในคืนเข้าหอเพียงลำพัง
“หลิงซี เจ้าว่าข้าทำอะไรให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือเปล่า” อู๋ตานเหม่ยหรืออู๋ฮองเฮาถามหลิงซีด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ นับตั้งแต่เดินทางมาจากต้าเหลียวจนถึงแคว้นเยี่ยน นางแทบไม่มีความสุขเลยสักนิด แต่ทุกสิ่งที่ทำก็เพื่อบ้านเมืองทั้งนั้น เนื่องจากแคว้นเหลียวในยามนี้กำลังประสบภาวะยากลำบาก พระบิดากับพระเชษฐาที่เป็นองค์รัชทายาทไม่มีทางเลือก เมื่อ
ทราบว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนมีเพียงพระสนมเอก แต่ยังไม่มีฮองเฮา จึงยื่น
พระราชสาสน์ติดต่อองค์ไทเฮา ซึ่งไทเฮาก็ตอบรับพระราชสาสน์กลับมาทาบทามสู่ขออู๋ตานเหม่ยเป็นฮองเฮาแห่งแผ่นดินแคว้นเยี่ยน จนกระทั่งพิธีอภิเษกสมรสผ่านพ้นไปไม่ทันข้ามวัน นางก็กลายเป็นเจ้าสาวที่ถูกทิ้งร้างอยู่ในตำหนักจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของพระสวามี
หลิงซีกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาทอาจยังทรงตกพระทัยอยู่บ้างเพคะ เพราะเดิมทีตำแหน่งนี้มีคนเล่าลือกันว่าจะทรงยกให้เกากุ้ยเฟย แต่...”
“แต่เราก็มาแย่งไปใช่มั้ย” น้ำเสียงของอู๋ตานเหม่ยเศร้าหมองลง พระพักตร์งดงามที่ประทินโฉมอย่างเฉิดฉันไม่มีแม้แต่รอยแย้มพระสรวล
“ฮองเฮาทรงให้เวลาฝ่าบาทสักหน่อยนะเพคะ แรกๆ พระองค์อาจทรงตกพระทัยไปบ้าง แต่หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องโปรดปรานฮองเฮามากแน่นอนเพคะ” หลิงซีกล่าวปลอบใจผู้เป็นนายที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมารดาแห่งแผ่นดิน
อู๋ตานเหม่ยนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองสักพัก ในเมื่อพระสวามีทอดทิ้งนางในค่ำคืนเช่นนี้ นางเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอเขาเช่นกันดังนั้นนางจึงตัดสินใจเปิดผ้าคลุมใบหน้าเจ้าสาวออกด้วยตนเอง และอาบน้ำประทินโฉมเตรียมเข้าบรรทม
“ทูลฮองเฮา กระหม่อมหลี่กงกงพะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีประจำตำหนักเฟิ่งหวงดังขึ้นมาจากบริเวณด้านหน้าประตู ก่อนจะปรากฏร่างของขันทีอาวุโสอายุประมาณห้าสิบปีกว่าๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในตำหนัก ซึ่งหลี่กงกงเป็นขันทีประจำตำหนักคนใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาถวายการรับใช้จากไทเฮา
“ท่านกงกง” อู๋ตานเหม่ยลุกขึ้น นางก้มศีรษะเล็กน้อยรับการคำนับจากขันทีอาวุโส “ค่ำมืดเช่นนี้ ท่านมีธุระอันใดหรือ?”
“กระหม่อมจะมาแจ้งว่าวันพรุ่งนี้ฮองเฮาจะต้องเสด็จไปยกน้ำชาที่ตำหนักคังเฉวียนของไทเฮาพร้อมฝ่าบาทพะย่ะค่ะ” หลี่กงกงก้มหน้ารายงานเพียงเท่านั้น กระทั่งอู๋ตานเหม่ยพยักหน้าเข้าใจขันทีอาวุโสจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วยามก่อน
ทันทีที่พิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮาสิ้นสุดลง เหล่าบรรดาเสนาบดีและฮูหยินของพวกเขาต่างนำของมีค่ามากมายที่หายากมาถวายต่อมารดาแห่งแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งหลิงซีได้นำของขวัญจำนวนมากจากบรรดาขุนนางเหล่านั้นเข้ามาเก็บไว้ในตำหนักส่วนพระองค์ที่ถูกจัดขึ้นมาโดยเฉพาะ
คิ้วเรียวราวกับหางดาบของหวังลู่ฮ่องเต้เลิกขึ้นเล็กน้อย สายตาคมปลาบของฮ่องเต้หนุ่มทอดพระเนตรไปยังเการั่วซีหรือเกากุ้ยเฟย ซึ่งเป็นพระสนมเอกของเขาอย่างสงสารจับใจ แต่เดิมทีตำแหน่งมารดาแห่งแผ่นดินนี้ควรเป็นของนาง ซึ่งเขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะให้นางมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้แทนด้วยการกล่าวอ้างถึงความดีความชอบของนางและเกาเจียฉี่ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นทางแคว้นเหลียว แคว้นเล็กๆ ที่ส่งสาสน์มาเจริญสัมพันธไมตรีและยกบุตรสาวให้อภิเษกสมรส กระทั่งพระมารดาของเขาซึ่งดำรงตำแหน่งไทเฮาแห่งวังหลังตอบรับสาสน์นั้น และดำเนินการสู่ขออู๋ตานเหม่ยมาเป็นฮองเฮาแทนในตำแหน่งที่ควรเป็นของเการั่วซีตั้งแต่ต้น
หวังลู่ฮ่องเต้เบนสายพระเนตรมามองฮองเฮาองค์ใหม่ที่ตนไม่ค่อย
พอใจกับการอภิเษกครั้งนี้นัก ทรงคว่ำปากเล็กน้อยราวกับรังเกียจเดียดฉันท์นาง ซึ่งอู๋ตานเหม่ยที่แม้จะมีผ้าคลุมใบหน้าสีแดงอ่อนปกคลุมอยู่ แต่กลับไม่สามารถซ่อนอากัปกิริยาของพระสวามีจากสายตาของนางได้
“ฝ่าบาท หลังจากนี้จะเป็นฤกษ์ส่งตัวเข้าหอ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงแยกแยะได้นะเพคะ” น้ำเสียงของไทเฮาผู้เป็นพระมารดาราวกับออกคำสั่ง หวังลู่ฮ่องเต้ทรงยืนขึ้นด้วยท่าทีไม่ค่อยพอพระทัยเท่าใดนัก ท่ามกลางสายตาจำนวนมากของเหล่าเสนาบดีที่ทอดมองมา พระองค์จับมืออู๋ตานเหม่ยแล้วกระตุกให้นางยืนขึ้นมาอย่างรุนแรงจนนางเกือบเซล้มลง แต่ว่ากลับไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกสงสารนางแต่อย่างใด
ไทเฮาทรงเห็นการกระทำเช่นนั้นของบุตรชายจึงวางท่าทีนิ่งเฉย เนื่องจากหวังลู่มีนิสัยพื้นฐานเดิม หากไม่พอใจสิ่งใดเขาย่อมแสดงออกมาทางสายตาและการกระทำ แม้แต่การอภิเษกสมรสครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้พระนางจะไม่เต็มใจที่จะรับอู๋ตานเหม่ยธิดาจากสนมขั้นเฟยของฮ่องเต้แห่งต้าเหลียวมาเป็นฮองเฮา แต่อย่างน้อยนางย่อมดีกว่าเการั่วซีที่มีบิดากระหายอำนาจอย่างเกาเจียฉี่แน่นอน ดังนั้นเพื่อสกัดกั้นไม่ให้บุตรชายได้แต่งตั้งเการั่วซีเป็นฮองเฮา พระนางจึงทรงตอบรับการอภิเษกสมรสครั้งนี้
